THAiDRiVER Review: 2023 Honda CR-V e:HEV RS 4WD [1,729,000฿] – ลืมภาพจำเก่าๆของ CR-V ไปได้เลย!!

คุณเคยได้ยินว่ากาลเวลาทำให้คนเปลี่ยนแปลงมั้ยครับ? ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลงแต่ก็ไม่มีใครที่จะนิสัยเหมือนเดิมเป๊ะแบบ100%ใช่มั้ยครับ เพราะทุกคนย่อมเติบโตในเส้นทางของชีวิต ประสบการณ์ และสังคมที่ไม่เหมือนกัน ในโลกของรถยนต์ก็เช่นกันครับที่มีแต่การแข่งขันที่สูงขึ้น เทคโนโลยีใหม่ๆที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาและสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความต้องการของลูกค้าในตลาดนั้นๆครับ ซึ่งรถที่ทางเรานำมาเขียนรีวิวชิ้นนี้ก็เป็นรถยอดนิยมที่มีภาพจำที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับคนไทยครับ นั่นก็คือ “Honda CR-V” แล้วถ้าถามว่าภาพจำเดิมหรือนิสัยประจำตัวของรถรุ่นนี้สำหรับตลาดบ้านเรานั้นเป็นแบบไหน? เมื่อพูดถึงรถCR-Vมันก็คือรถSUVพื้นฐานเก๋งขวัญใจชาวไทยต่อเนื่องมา 6 รุ่นที่มีความเอนกประสงค์สูง พอลุยได้เล็กน้อย แต่ขับง่าย สบาย คล่องตัวกว่ารถ SUV พื้นฐานกระบะหรือที่เรียกว่า PPV หรือจะมองภาพจำอีกมุมนึงสำหรับคนที่เคยมีโอกาสซื้อใช้ ลองขับหรือนั่ง ก็จะพบว่าเป็นรถที่มีอัตราการสูบน้ำมันที่สูงเอาเรื่องโดยเฉพาะตัวเครื่อง2.4ลิตร ช่วงล่างที่โยนย้วย การเก็บเสียงไม่ดี งานประกอบธรรมดา แต่รถก็ยังมีความนิยมมากมายต่อเนื่องจากข้อดีหลายประการที่พอจะทำให้มองข้ามข้อเสียเหล่านั้นไปได้ แต่ถ้าจะบอกว่าในวันนี้เพื่อนเก่าคนเดิมของเรามีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปล่ะครับ คุณจะรักหรือเกลียดเขามากขึ้นมั้ยครับ? ในบทความชิ้นนี้เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังต่อจากนี้ครับ

Exterior (ภายนอก)

รถคันนี้เป็นรุ่นย่อยตัวท็อปสุดของCR-Vซึ่งก็คือตัว RS e:HEV 4WD 5 seats ซึ่งมีราคาอยู่ที่ 1,729,000฿ สี Ignite Red Metallic (เฉพาะตัวRS) มีมิติตัวถังดังนี้

  • ยาว 4,691 mm. กว้าง 1,866 mm. สูง 1691 mm(4WD)และ1,681(2WD).
  • ความยาวฐานล้อ: 2,700 mm. ความสูงใต้ท้อง: 208 mm.ในรุ่นขับเคลื่อน4ล้อและ198 ในรุ่นขับเคลื่อน2ล้อ รูน็อตล้อ: 5 x 120 ในทุกรุ่นที่เป็น e:HEV และ 5 x 114.3 ในรุ่น Turbo
  • น้ำหนัก: 1,815 kg. ความจุถังน้ำมัน: 57 L. (รองรับสูงสุดถึง E20) ปล่อยไอเสียCO2: 124 g/km.

  • ขนาดล้อ 19 นิ้ว กว้าง 5 นิ้ว พร้อมยางขนาด 235/55R19 Michelin Latitude Sport 3

ซึ่งถ้าเทียบดีไซน์กับตัวเก่านั้น ตัวใหม่มีความบึกบึนและสปอร์ตมากขึ้น ขนาดตัวใหญ่และดูยาวขึ้น ดูเป็นรถครอบครัวน้อยลง โดยเฉพาะรุ่นRSที่มีการตกแต่งที่แตกต่างกับรุ่นอื่นและแหวกจากRSรุ่นอื่นๆของฮอนด้าที่จะเน้นของดำ แต่มารอบนี้ในCRVลดของดำน้อยลงแต่ใส่ความคลีนและหรูหราเพิ่มขึ้นอีกทั้งยังมีอุปกรณ์พิเศษเฉพาะรุ่นRS ซึ่งมีดังนี้

  • ภายนอกรถเปลี่ยนจากวัสดุพลาสติกสีดำด้านตามคิ้วซุ้มล้อและชายล่างในตัวธรรมดามาเป็นสีเดียวกับตัวรถ และแปะของดำตรงฝาครอบกระจกข้าง , สปอยเลอร์หลัง, เสาอากาศครีบฉลามและเสาBและC Pillar, ล้อขนาด 19 นิ้ว
  • สัญลักษณ์ “RS” ที่ฝาท้ายและกระจังหน้ารถ
  • เซ็นเซอร์กะระยะรอบคัน 8 ตำแหน่ง หน้า 4 จุด, หลัง 4 จุด
  • ระบบไฟหน้าแบบ Adaptive Driving Beam ที่สามารถแหวกหลบรถที่วิ่งสวนมาได้และมี Active Cornering Light ที่เป็นไฟส่องสว่างมุมข้างช่วยลดมุมอับเวลารถเลี้ยวตอนกลางคืน
  • Head-Up Display
  • ระบบเครื่องเสียง BOSE ลำโพง 12 ตำแหน่ง
  • ระบบนำทาง Navigator

และHighlightsเพิ่มเติมมีดังนี้

  • Honda Lane Watch (กล้องส่องทางซ้ายขณะเปลี่ยนเลน)
  • Hill Descent Control (ช่วยควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน)
  • TPMS (ระบบวัดและเตือนลมยาง)
  • Airbags 8 ลูก
  • Panoramic Sunroof
  • ฝาท้ายไฟฟ้าพร้อมระบบปิดเองอัตโนมัติเมื่อกุญแจอยู่ห่างจากตัวรถ
  • แอร์แบบ i Dual Zone ที่สามารถนำข้อมูล GPS มาประเมินเพื่อปรับค่าระบบปรับอากาศให้เหมาะสมกับ ณ เวลานั้นๆ

 

Exterior (ภายนอก)

ก่อนจะขึ้นรถก็ต้องใช้กุญแจถึงจะไม่ต้องไขหรือกดปุ่มแต่ก็ต้องมีติดตัวไว้นะครับ ซึ่งมีหน้าตาดังนี้ครับ

 

 

 

 

 

เปิดมาข้างในก็จะพบกับการตกแต่งภายในที่มาในโทนสปอร์ต เช่น เบาะหนังสีดำเดินด้วยตะเข็บสีแดง แผงประตูกับDashboardที่มีวัสดุสีเงินตกแต่งลายคล้ายโลหะตัดกับวัสดุสีดำเงาหรือที่เรียกว่าPiano Black สำหรับเบาะคู่หน้านั้นถึงแม้หน้าตาจะดูสปอร์ตแต่กลับนั่งนิ่มสบายกว่าที่คิดและมีความกระชับโอบตัวระดับนึง ท่านั่งขับกับทัศวิสัยจัดว่าขับง่าย ขับสบาย กว้างขวาง ไม่ต้องปรับตัวเยอะ มุมบอดมีน้อย กระจกมองข้างมีขนาดเหมาะสมทำให้ไม่รู้สึกว่ากำลังขับรถขนาดที่ค่อนไปทางโตแต่กลับเหมือนกับว่ากำลังขับรถCivicที่สูงขึ้นและนั่งสบายมากขึ้น พวงมาลัยมีขนาดเหมาะสมจับกระชับระดับนึงแต่ไม่ถึงขั้นรถสปอร์ต(ก็แหงล่ะ มันคือรถครอบครัวนี่ -_-)

เบาะหลังจัดว่าดีอันดับต้นๆสำหรับรถกลุ่มนี้ในแง่ของความนั่งสบาย แต่อาจจะยังแพ้ในเรื่องพื้นที่ให้กับ Subaru Forester แต่ถือว่าชนะMazda CX-5 แบบขาดลอยทั้งเรื่องพื้นที่และความสบายในห้องโดยสาร

การจัดวางตำแหน่งต่างๆถือว่าใช้งานง่ายไม่ต้องปรับตัวเยอะ ยิ่งถ้าใครใช้ฮอนด้ารุ่นเก่าๆมายิ่งแทบไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย แต่สิ่งที่ขัดใจอยู่คือดีไซน์ของแผงแอร์ ซึ่งมันดูสวยและแปลกตาเลยแหละแต่น่าจะดูแลยากพอสมควรเวลาจะทำความสะอาดฝุ่นข้างใน อีกสิ่งที่ขอชมเชยคือเรื่องงานประกอบ ซึ่งสมัยก่อนฮอนด้าจะขึ้นชื่อว่างานประกอบไม่เรียบร้อย วัสดุไม่ดี มาคราวนี้ถือว่าดีมากขึ้นเยอะถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ระดับมาสด้าแต่ก็ถือว่าทัดเทียมคู่แข่งแล้วครับทั้งด้านวัสดุและงานประกอบ อีกทั้งเครื่องเสียง BOSE ในตัวท็อปนั้นถือว่าดีระดับต้นๆในรถระดับนี้ ใกล้เคียงกับ BOSE ใน CX-5 เลยทีเดียว

Specifications (สเปค)

 

Engine : รหัสLFC2 ความจุ 2.0L Atkinson Cycle เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Direct injection ด้วยหัวฉีด Multipoint PGM-FI ส่งกำลังสู่ล้อด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT

(Power) กำลังสูงสุด : 148 แรงม้า ที่รอบ 6,100 รอบต่อนาที (Torque) แรงบิดสูงสุด : 183 นิวตันเมตร ที่รอบ 4,500 รอบต่อนาที

Electric Motor & Battery : มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว (1 ตัวขับเคลื่อนและ1ตัวปั่นไฟเข้าแบตเตอรี่) และแบตเตอรี่แบบ Lithuim-ion ความจุ 1.06 kWh. 72 cells น้ำหนัก 36 กิโลกรัม วางใต้พื้นห้องเก็บสัมภาระท้าย

(Power) กำลังสูงสุด : 184 แรงม้า ที่รอบ 5,000 – 8,000 รอบต่อนาที (ปกติของมอเตอร์ไฟฟ้านะครับที่จะปั่นรอบจี๋แบบนี้ อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นเครื่องวีเทครอบจัด แคมชาร์ฟองศาสูงนะครับ อิอิ555555)

(Torque) แรงบิดสูงสุด : 335 นิวตันเมตร ที่รอบ 0 – 2,000 รอบต่อนาที

Combined : จังหวะที่เครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานพร้อมกัน

(Power) กำลังสูงสุด : 207 แรงม้า

(Torque) แรงบิดสูงสุด : 335 นิวตันเมตร

**ระบบe:HEVของCR-Vนั้นจะทำงานแบบ เครื่องปั่นไฟ -> แบตเตอรี่ -> Motor -> เกียร์E-CVT -> ล้อหมุน (โดยที่บางช่วงจะวิ่งด้วยเครื่องยนต์หรือผสมกัน) **

โดยในระบบมีทั้ง High & Low speed lock up clutch ในการให้เครื่องยนต์มีบทบาทเข้ามาช่วยขับเคลื่อนตัวรถ โดยที่

Low speed lock up clutch : ช่วยให้เครื่องยนต์มาขับเคลื่อนรถที่ความเร็วต่ำและเพิ่มความสามารถในการลากจูง

High speed lock up clutch : ช่วยให้เครื่องยนต์มาขับเคลื่อนรถที่ความเร็วสูงเพื่อช่วยในการเร่งความเร็วรอบปลายได้ดีขึ้นและช่วยลดรอบเครื่องยนต์ขณะวิ่งด้วยความเร็วคงที่

มี Driving Modes (โหมดการขับขี่) 3 แบบ คือ

Normal : เหมาะสำหรับการขับขี่ทั่วไป

Econ : เน้นขับประหยัด การตอบสนองคันเร่งหน่วงมากขึ้น ปรับการทำงานของระบบแอร์ให้พัดลมทำงานเบาลง

Sport : คันเร่งตอบสนองไวขึ้น ดุขึ้น มาพร้อมกับเสียงสังเคราะห์ Active Sound Control (เฉพาะรุ่นe:HEV)

ในรุ่น 4WD มีการปรับให้มีการส่งพละกำลังไปล้อคู่หลังมากขึ้นกว่ารุ่นเก่า ซึ่งในการขับขี่ปกติจะส่งกำลังเป็น หน้า 60 : หลัง 40 แต่จะสามารถปรับเป็น หน้า 50 : หลัง 50 ได้ทันทีเมื่อเจอถนนเปียกหรือมีการขับขี่ที่รุนแรง

ระบบบังคับเลี้ยว : DP – EPS (พวงมาลัยไฟฟ้า) พร้อมระบบ Variable Gear Ratioที่แปรผันอัตราทดช่วงเวลาหักซ้ายขวาเร็วๆให้ ตอบสนองไวขึ้นเพิ่มความคล่องตัว รอบการหมุนจากซ้ายไปขวาสุด(Lock to Lock) 2.4 รอบ มีรัศมีวงเลี้ยวอยู่ที่ 5.5 เมตร

Suspension system (ระบบช่วงล่าง) :

F (หน้า) : MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง

R (หลัง) : Multi-link พร้อมเหล็กกันโคลง

* รุ่น 4WD จะใช้วัสดุปีกนกหลังแบบ Aluminum alloyที่น้ำหนักเบากว่าปีกนกเหล็กกล้าธรรมดาใน 2WD และสปริงที่สูงกว่าตัว 2WD 10 mm. เพื่อชดเชยเรื่องน้ำหนักและจุดศูนย์ถ่วงที่ต่างกันเล็กน้อย

* ใข้บูชยางที่มีความแข็งขึ้น 15% และ ใช้ Diecast Aluminum Subframe เพื่อลดน้ำหนักลงอีก 5 กิโลกรัม

Brake System : ดิสเบรค 4 ล้อ พร้อม ABS EBD

F (หน้า) : ดิสเบรคขนาด 330 mm พร้อมครีบระบายความร้อน

R (หลัง) : ดิสเบรคขนาด 330 mm ไม่มีครีบระบายความร้อน

Body & Chassis : ChassisแบบMonocoque (ตัวถังรถเก๋ง)เพิ่ม Body rigidity (ความทนต่อการบิดงอ) 15 % จากรถรุ่นเดิม

* มีระบบ Agile Handling Assist ที่ทำงานคล้ายๆ Torque Vectoringก็คือช่วยปรับลดแรงบิดขณะเข้าโค้งให้รถเลี้ยวง่ายขึ้น

* มีระบบช่วยการทรงตัว VSA

* เพิ่มวัสดุซับเสียงมากกว่ารุ่น 1.5 Turbo (Firewall เหนือแผงหน้าปัดหน้าและฝาท้าย)

* ติดตั้งวัสดุซับเสียงในล้อเหมือนกับ Accord e:HEV

* มีระบบ Active Sound Control (ปล่อยคลื่นเสียงมาหักล้างเสียงรบกวนต่างๆ) ในทุกรุ่นย่อย

Let’s Drive!! (ลองขับ)

 

อัตราเร่ง : บอกเลยว่าจี๊ดจ๊าดพอตัวในช่วง 0 – 130 กม/ชม. แตกต่างกับ CR-V ตัวเก่าๆที่ผ่านมาชัดเจน ด้วยความที่มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นพระเอกขับเคลื่อนในช่วงแรกทำให้ตีนต้นออกตัวตอบสนองดีมาก มีการไล่รอบหลอกไปมาเหมือนรถเกียร์Torque Converterให้รู้สึกเร้าใจเล็กๆ คันเร่งไม่มีหน่วงตามสไตล์มอเตอร์ไฟฟ้า แต่คุมง่าย สั่งเท่าไหนไปเท่านั้น ทำงานนุ่มนวลไม่กระชากแต่พุ่งอย่างมีพลัง คล่องตัวและกระปี้กระเป่าชนิดที่ว่าเป่า CR-V ทุกรุ่นไม่ว่าจะ 2.0, 2.4 หรือ 1.6 ดีเซลเทอร์โบในช่วงออกตัวถึง130 km/h ทิ้งได้สบายๆ ถึงแม้จะไม่ได้จับตัวเลขอย่างจริงจัง แต่เท่าที่จับคร่าวๆเล่นๆ 0 – 100 จะป้วนเปี้ยนแถวๆ 9วิปลายๆ – 10วิกลางๆ กับ 80-120 แถวๆ 7วิกลางๆ- 7วิปลายๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณไฟกับอุณหภูมิของแบตเตอรี่ ถึงแม้จะไม่แรงเป็นรถสปอร์ตแต่ถือว่าเหลือเฟือกับการใช้งานทั่วไปแน่นอน ถ้าเทียบกับคู่แข่งอาจจะยังแพ้ Mazda CX-5 2.2ดีเซลกับ2.5 TurboและHaval H6แต่ถือว่าแรงกว่าคู่แข่ง2.0อย่าง Subaru Forester กับ CX-5 2.0แน่นอน แต่สิ่งที่ขัดใจสายซิ่งที่เป็นนิสัยประจำของฮอนด้าตระกูล e:HEV นั่นคือ เมื่อไหร่ที่ความเร็วเกิน 130 km/hหรือเวลาที่แช่หนัก เรียกอัตราเร่งถี่ๆบ่อยๆจนแบตร้อนหรือหมดเกลี้ยง ก็จะพบกับความอืดปลายเหี่ยวทันที ช่วงหลัง 130 ไปขึ้นช้ากว่าคู่แข่งที่เป็นเบนซิน 2.0 เพียวๆด้วยซ้ำ (ก็แหงสิตอนแบตหมดเกลี้ยงมันก็กลายร่างเป็นรถเครื่อง 2.0 บ้านๆ 148 แรงม้าก็แพ้เขาตามแรงม้าไป) ถ้าคุณขับใช้งานทั่วไปหรือเร่งแซงแค่พอจำเป็นก็จะไม่เจอปัญหานี้ครับ ซึ่งสาเหตุที่เป็นแบบนี้เพราะแบตลูกเล็กครับ แค่ 1.06 kWh แค่ใช้แปปเดียวก็หมด แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีข้อดีนะครับ มันชาร์จไว น้ำหนักเบา ยิ่งถ้าอยากให้แบตชาร์จไวก็กดโหมด Sport หรือ เล่นแป้นPaddle shiftเพื่อเพิ่มการรีเจนแบตครับ(อย่าสับสนนะครับ ด้วยความที่มันไม่มีเกียร์จริงๆ แต่เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าหมุนล้อก็ต้องใช้ Regenerative BrakingเหมือนรถEV แทนEngine Brakeกับชาร์จไฟกลับครับ)

การขับขี่ : ตรงนี้ก็เป็นอีกจุดที่พลิกจากรุ่นเดิมชัดเจน ช่วงล่างCR-Vในรุ่นเดิมๆนั้นมักจะโยนย้วยที่ความเร็วสูงแต่ตึงตังนิดๆในความเร็วต่ำ แต่พอมาเป็นรุ่นที่ 6 นี้แตกต่างอย่างชัดเจน การซับแรงกระแทกค่อนข้างดีกว่ารุ่นเก่า นุ่มนวลนั่งสบาย ผู้ใหญ่ชอบ แม้จะเป็นล้อ 19 นิ้ว แต่กลับเฟิร์ม เกาะถนนและมั่นใจในความเร็วสูงกับตอนซัดโค้งแรงๆมากกว่ารุ่นเก่าคนละเรื่อง อาการUndersteerลดลงชัดเจน ระบบขับ4ก็รู้สึกจริงๆว่าช่วยเตะท้ายให้รถเข้าโค้งได้ลึกขึ้นกว่ารุ่นเก่า ถ้าเทียบกับคู่แข่งอาจจะยังแพ้ CX-5กับSubaru Foresterในแง่ของการเกาะถนนนิดหน่อย เพราะ CX-5 เซ็ตรถมาเฟิร์ม แข็งกระด้างมากกว่า Body Controlดีกว่า มุดสนุกมั่นใจ ไม่ส่ายหรือหน้าดื้อตอนซัดโค้งแรงๆเท่า CR-V ส่วน Subaruถึงแม้ช่วงล่างจะนุ่มกว่าCR-Vแต่เพราะระบบขับ4ที่ดีกว่ากับจุดศูนย์ถ่วงต่ำบาลานซ์ดีจากเครื่อง Boxer ทำให้ซัดโค้งได้โหดกว่าCR-V แต่ยังไงการขับขี่ก็ดีกว่าHaval h6แน่นอนเพราะHavalตั้งใจเซ็ตมาเน้นนุ่มนวล เอาใจพ่อบ้านแม่บ้านใช้งานทั่วไปจริงๆ ส่วนฟีลลิ่งพวงมาลัย เซ็ตมาน้ำหนักกำลังดี เบาในความเร็วต่ำและแอบหนักขึ้นนิดๆในความเร็วสูง อาจจะไม่หนักเท่าForester แต่ถือว่ามีน้ำหนักที่ดีกว่า CX-5 ที่แอบเบาไปนิดนึง ส่วนระยะฟรีกับความไวทำได้ดีสูสีMazdaและดีกว่าSubaruเพียงแต่ความคม แม่นยำและฟีดแบคเวลาซัดโค้งอาจจะยังถ่ายทอดมาไม่ดีเท่าCX-5ที่ชนะเลิศในด้านนี้ ฟีลลิ่งเบรคเซ็ตมาดีกว่ารถไฮบริดสมัยก่อน คือไม่มีอาการเดี๋ยวไหลเดี๋ยวหน่วงให้รำคาญ แต่น้ำหนักเบรกยังถือว่าเบาเป็นฟองน้ำตามสไตล์รถไฮบริดที่เป็นปั๊มเบรกไฟฟ้า มีระยะแป้นเบรกที่เหมาะสม เซ็ตมาไม่ตื้นเท่าForesterแต่ไม่ลึกแบบ CX-5 แต่ถือว่าดีแล้ว บาลานซ์ระหว่างความนุ่มนวลในตอนขับปกติกับเบรคแรงๆตอนซัดได้ค่อนข้างดี เพียงแต่ผ้าเบรกยัง Fade ง่ายกว่าคู่แข่งตามสไตล์ฮอนด้า ถ้าขับโหดมากควรเปลี่ยนครับ

การเก็บเสียง : ตรงนี้ก็ถือว่าดีขึ้นชนิดที่ว่าลืมฮอนด้ารุ่นเก่าๆที่ผ่านมาได้เลย ยิ่งถ้าคุณกระโดดจากรถฮอนด้าCR-V G3 หรือ G4 ยิ่งสัมผัสได้ชัดว่าเงียบลงเยอะมาก การเก็บเสียงลมนั้นเก็บได้ดีพอๆกับ CX-5 KF และแอบเงียบกว่า Forester SKด้วยซ้ำ เพียงแต่การเก็บเสียงใต้ท้องกับเสียงยางอาจจะดังกว่าคู่แข่งนิดๆ แต่ถือว่าไม่น่ารำคาญแบบฮอนด้าสมัยก่อนเลย

อัตราสิ้นเปลือง : ถึงจะไม่ได้จับมาอย่างจริงจังแต่พอสามารถพอบอกคร่าวๆได้ว่า ค่อนไปทางประหยัดสำหรับรถไซส์นี้ครับ ยิ่งรถติดๆหรือวิ่งช้าๆให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานบ่อยๆยิ่งประหยัด ถ้าวิ่งในเมืองผสมทางไกลและมีซัดบางช่วงด้วย ยังเห็นเลขตั้งแต่ 14-16 km/l. สบายๆ ยิ่งตอนรถติดๆขับช้าๆแบบปั้นตัวเลข ยิ่งทำได้ถึง 20 km/l.ได้เลย ต่อให้ซัดจนแบตเกลี้ยงก็ยังเห็นอัตราสิ้นเปลืองไม่แย่ไปกว่า 11 km/l. แล้วอย่าลืมว่านี่เป็นตัวท็อปมีเพลาขับ4ที่ตัวหนัก อุปกรณ์เยอะ ล้อโตนะครับ ยิ่งถ้าเป็นตัวES e:HEVขับ2นี่ยิ่งประหยัดเข้าไปใหญ่ ส่วนข้อสังเกตุที่ทำไมพอวิ่งทางไกลไม่ประหยัดเท่าในเมือง? นั่นเพราะเวลารถติดความเร็วต่ำๆรถมีมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นพระเอกขับเคลื่อนซะส่วนใหญ่ ทำให้ใช้น้ำมันน้อย ในขณะที่ความเร็วสูงที่เครื่องมีบทบาทในการขับเคลื่อนมันก็กลายร่างเป็นรถ C-SUV เครื่อง 2.0ที่จูนมาเน้นประหยัดเฉยๆ ทำให้ไม่ได้ประหยัดแบบว้าวเท่าในเมืองครับ แต่โดยรวมก็ยัวถือว่าประหยัดดีและลบภาพเก่าๆว่าCR-Vกินน้ำมันไปได้เลย!!

Verdict (สรุป) : C-SUVทางสายกลางที่กลมกล่อมน่าใช้สุดในกลุ่มจนคู่แข่งเหงื่อตกได้สบาย

ในท่ามกลางความร้อนแรงของเทรนด์ตลาดรถยนต์SUV ถึงแม้จะไม่ใช่รถที่ขับแล้วสปอร์ต ขับสนุก ตอบสนองดีเป็นเลิศแบบCX-5หรือเป็นสายลุย เกาะหนึบ แบบForesterแต่มันคือรถที่ประสานอยู่ตรงกลางพอดี ใช้งานง่าย มีความสบายแบบไม่หลุดภาพรถครอบครัว แต่ขับขี่มั่นใจ ประหยัดน้ำมัน กว้างขวาง ออฟชั่นดี การเก็บเสียงที่เงียบคนละเรื่องกับรถรุ่นเดิมๆและเป็นแบรนด์เจ้าตลาดที่ให้ความมั่นใจในด้านระยะยาวกับบริการหลังการขายได้ดี ก็ไม่แปลกใจละครับว่าทำไมยอดจองเยอะจนถึงขั้นรอยาวๆ แต่อย่าให้ลูกค้ารอนานเกินไปนะครับ!!