รถยนต์ MG HS Phev (Plug-in Hybrid)

             รถยนต์ Phev (Plug-in Hybrid) ในช่วงนี้ เริ่มขยับตัว และบุกตลาดกันในบ้านเรา แม้กระทั้งรถยนต์ SUV อเนกประสงค์ ก็เริ่มมีให้เห็นกันบ้างแล้ว ด้วยองค์ประกอบต่างๆ โดยเฉพาะ ตัวแปรสำคัญอย่างราคาน้ำมัน จึงทำให้มีกลุ่มลูกค้าที่ต้องการรถที่ประหยัดมากกว่าเดิม ด้วยเหตุผลนี้ ทางทีมงาน จึงได้นำรถ MG HS Phev
มาทดสอบในครั้งนี้ เพราะมองว่าเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่มีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ จัดอยู่ในกลุ่ม C-SUV จะสรุปให้สั้นๆว่า รถคันนี้เหมาะกับใคร และกลุ่มใดที่จะมองคันนี้เป็นหนึ่งในตัวเลือก ในท้ายโพส โพสต์นี้จะเขียนบรรยายใต้ภาพเช่นเคย ทั้งการขับขี่และสเปคของรถยนต์เชิญอ่านได้เลยครับ
               ท้าวความไปก่อนเมื่อ ปี2020 MG ได้เปิดตัว MG HS Phev ตัวแรก และมีการปรับโฉม (Minor Change) อีกครั้งในปี 2022 โดยเป็นรุ่นปัจจุบัน
โดยตัวปัจจุบันได้อัพเดทหน้าตาใหม่ หลายคนจะคุ้นเคยหน้าตานี้ เพราะ คล้ายคลึงกับ MG 5 ดีไซน์โดยรวมของรุ่นนี้จะออกไปทางSport ระบบความปลอดภัยและ option ยังจัดเต็มเช่นเคย ค่าสินสอด 1.359 ลบ. อีกทั้งยังเคลมระยะทางที่วิ่งไฟฟ้าล้วน ได้ถึง 67 กิโลเมตร (NEDC ค่าที่คุณก็รู้)
โหมดการขับขี่
-ECO
-NORMAL
-SPORT
-SUPER SPORT
-EV
มิติตัวถัง 4,574×1,876×1,664 มม. ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มาก
ด้านหน้า McPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง
ด้านหลัง Multi-Link พร้อมเหล็กกันโคลง

สเปคระบบส่งกำลัง

เครื่องยนต์ 1.5L เทอร์โบ เรี่ยวแรงเครื่องยนต์เพรียวๆ 162 แรงม้า 250 นิวตันมตร
เมื่อ combined กับ PHEV ได้เพิ่มขึ้นเป็น 284 แรงม้า 280 นิวตันเมตร

แบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 16.6 kW
ทำความเร็วสูงสุดในโหมด EV ได้ 155 กม./ชม
อีกทั้งยังมีระบบสร้างกระแสไฟฟ้ากลับ Battery management และ KERS

หัวใจที่กล่าวมา ถูกส่งกำลังผ่าน เกียร์ EDU II – 10Speed โดยแบ่งเป็นสองชุด ของเครื่องยนต์ 6Speed ส่วนมอเตอร์ 4Speed ส่งไปสู่ล้อ

MG ไม่เลือกใช้เกียร์หนังยางหรือ CVT

กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ทูโทน ดำ/โครมเมี่ยม
โลโก้ MG เบอเริ่ม
หน้าตาคล้าย MG 5 คงจะเป็น DNA ของ MG ไปแล้วแหละ (รวมไปถึงโมเดลตัวต่างประเทศ)
ไฟหน้าแบบ Quad LED ไฟ LED 4ช่อง ทั้งไฟต่ำและไฟสูง
แสดงถึงความรักโลก ด้วยTrim สีฟ้าในดวงตาคู่นี้ Day time Running Light แบบสามเส้น
ไฟเลี้ยวถูกย้ายตำแหน่งจากโคมไฟบน แนวยาวดูสปอร์ตขึ้นแต่เสียดายไม่เป็น Sequential แบบตัวก่อน MC
ในกระจังหน้าฝังกล้องหน้าเหนือ โลโก้ MG
อ้อ รถคันนี้มีกล้องมองรอบคัน 360 ด้วยนะ
แถมภายในโลโก้ยังมีเรดาร์ที่ทำงานในระบบ ACC(Adaptive cruise control) และระบบเตือนการชนรถด้านหน้า
ด้านท้ายไม่ได้แตกต่างไปจากตัวก่อนมาก แต่ที่เห็นได้ชัดเจนเลยคือเส้นสายในไฟท้าย และกันชนท้ายดีไซน์ใหม่ มีครีบระบายอากาศ เเต่เป็นแบบหลอก
ไฟท้ายทรงเดิมแต่เส้นสาย LED เปลี่ยนใหม่ กันชนท้ายปรับเปลี่ยนดูสปอร์ตขึ้นมีช่องท่อคู่ มีกล้องถอยหลังมีเซ็นเซอร์กะระยะ4จุด ไฟถอยหลังอยู่ตำแหน่งเหนือท่อไอเสียไม่ได้ส่องสว่างมากแต่เป็นสัญลักษณ์ในการถอย
ข้อเสียของการดีไซน์ใหม่ในไฟท้ายคือสูญเสียไฟเลี้ยวแบบ Sequential ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือ รุ่นนี้ทั้งด้านหน้าและด้านท้ายถูกตัดทิ้งทั้งคู่ จากที่เคยมีในตัวก่อน MC
สปอยเลอร์เป็นชิ้นสีดำ มีไฟเบรคดวงที่สาม LED เสาอากาศแบบคลิปฉลามสีดำตัดกับสีรถ
จุดเด่นของรุ่นนี้เลยคือ Panoramic Sunroof สั่งเปิดปิดด้วยเสียงได้ ถึงแม่ว่าอาจจะมีเด๋อๆบ้าง แต่ก็มีมาให้
ล้ออันลอยด์ขนาด 18 นิ้ว เป็นทูโทน ออกแบบใหม่ ห่อหุ้มด้วยยาง 235/50R18
คาลิเปอร์เบรคเป็นแบบเดิมเป๊ะๆ แค่ทำสีแดง เพิ่มแรงเบรคได้ 300%
เพิ่มเติมระบบนำทางแบบ AR Navigation
ถ้าถึงทางเลี้ยวจะเป็นลูกศรคล้ายกำแพง
พวงมาลัยสามก้านมัลติฟังชั่น ควบคุมเครื่องเสียงและมัลติมีเดียที่ด้านซ้าย ด้านขวาควบคุมจอมาตรวัด พร้อมปุ่มระบบสั่งการด้วยเสียงเด่นที่สุดก็คือ ปุ่ม Super Sport
กล้องมองรอบคันแบบ 360 องศาภาพถือว่าไม่แย่มองได้ในระดับหนึ่งแต่ไม่แม่นยำขนาดนั้นโดยเฉพาะเส้นนำระยะเลี้ยวถ้าว่ากันตามตรงก็เพี้ยนมาก แต่โดยรวมก็ช่วยได้ในทางแคบ
ระบบเสียง ระบบปรับอากาศและระบบของรถยนต์ แบบแป้น Piano มีช่องชาร์จไฟ Type A ช่อง12V และเสียบ Apple Car play
Ambient light ชัดๆ
แต่ปุ่มของระบบปรับอากาศเป็นเพียงแค่กดเพื่อเปิดคำสั่งบนหน้าจอเท่านั้นการตั้งค่าก็ต้องตั้งค่าที่หน้าจออยู่ดี แต่ถือว่าใช้ง่ายกว่ารถที่นำระบบทุกอย่างไว้ที่หน้าจอ
ระบบปรับอากาศเป็น อัตโนมัติและแยกฝั่งซ้ายขวา

ขอใช้รูปนี้ในการอธิบายและพื้นที่ในห้องโดยสาร

เอาจริงๆรถคันนี้ถือว่ามีห้องโดยสารที่กว้างนะ แต่พอเข้าไปนั่งจริงๆกลับรู้สึกอึดอัด เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า ทรงสปอร์ต ส่วนตัวรู้สึกว่าทำมาหนาเกินไป เลยทำให้เบียดบังทัศนวิสัยของคนนั่งแถวสอง รู้สึกอึดอัด

เบาะแถวที่สองมีที่พักแขนและที่วางแก้วน้ำและช่องเก็บของ

มีแอร์ช่องหลังสำหรับแถวที่สองปรับทิศทางได้อย่างเดียว

ดีไซน์ภายในตามแบบฉบับ MG มี inspiration

ระบบความปลอดภัย ตามในรูปเลยครับ เยอะมาก ได้ใช้ไหมอีกเรื่องนึง

ส่วนรายละเอียดของ Option ต่างๆในรุ่นนี้ อยู่ใตรูปนี้
สามารถข้ามได้ ถ้าอยากทราบ feelings จะอธิบายในรูปถัดไป

>ระบบ i-SMART สั่งงานด้วยเสียงภาษาไทย
>สั่งเปิด-ปิดระบบปรับอากาศ
>เครื่องเสียง Bose
>โทรออก และ รับสาย
>สั่งเปิด-ปิด Sunroof
>ระบบสั่งงานบนหน้าจอ
>ระบบนำทาง พร้อมรายงานจราจร Real Time
>แนะนำร้านอาหาร – ที่พัก
>เลขาส่วนตัว i-Call
>โทรออก-รับสายในกรณีฉุกเฉิน
>ระบบสั่งงานบน Smart Phone
>ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์
>เปิดระบบปรับอากาศ
>ล็อค-ปลดล็อคประตู
>วางแผนการเดินทาง Travel Plan
>ระบบ Find My Car
>ระบบตรวจสอบสถานะรถยนต์
>ระบบเล่นเพลงออนไลน์แบสตรีมมิ่ง
>ระบบแผนที่นำทาง Navigation System

>ระบบเสียงรอบทิศทาง BOSE 8.1 Sound System พร้อม SubWoofer
Welcome Light มีข้อดีมากับตอนกลางคืน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มีประโยชน์มากคือตอนกดหารถในลานจอด
การขับขี่ของรุ่นนี้
เอาเรื่องของช่วงล่างก่อนช่วงล่างของรุ่นนี้ติดแข็ง
ถ้าชอบความสบายนุ่มนวลคันนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์ ด้วยความที่มีแบตเตอรี่ขนาด 16 kw/h ที่มีน้ำหนักค่อนข้างมากจึงทำช่วงล่างมาเพื่อรองรับน้ำหนักบวกกับว่าเขาเป็น Sporty SUV มองว่า วัยรุ่นและวัยกลางคนวัยทำงานน่าจะชอบและขับได้ แต่ถ้าให้ผู้ใหญ่ที่ชอบความนุ่มนวลอาจจะไม่ชอบในช่วงล่างคันนี้เพราะมีความตึงตังรอยต่อถนนขึ้นมาสู้ห้องโดยสารพอสมควร
แต่ในความเร็วเดินทาง 90-120 ช่วงล่าง ของคันนี้กลับรู้สึกสบาย มีอาการโคลงตัวบ้างเล็กน้อย แต่ถือว่านิ่งในระดับที่น่าพอใจ
พวงมาลัยก็ดีแต่ไม่ที่สุดในกลุ่ม โดยรวมคันนี้ถือว่าทำมาได้ดีกว่า Haval H6 hev (รอดูว่าในรุ่น Phev จะปรับเปลี่ยนอะไรหรือไม่)สำหรับเครื่องยนต์ที่มีแรงม้ารวมกับไฟฟ้าถึง 284 แรงม้า เรียนตามตรงว่าหลังจากที่ได้ทำอัตราเร่งแล้ว ความรู้สึกที่ได้เหมือนไม่ใช่ 284เลย และรอยต่อเกียร์ค่อนข้างเป็นอะไรที่งงๆ มีเรี่ยวแรงแต่พอเปลี่ยนเกียปุ๊บอยู่ๆแรงที่มาก็หายไป อารมณ์แบบมาแล้วก็ไปแล้วก็มาอีกครั้ง เป็นในทุกโหมดการขับขี่แม้จะใช้ Super Sport แล้วก็ตาม อาการของเกียร์ก็ยังเป็นแบบเดิม แต่แรงถีบออกตัวถือว่าทำได้ดี ออกตัวในเมืองเนียนดี
แต่โดยรวมถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานถ้าขับใช้งานทั่วไปก็นวลดีแต่ไม่เหมาะกับการขับแบบ sport ซิ่งเลยระบบเบรกแบบ ดิสก์เบรก4ล้อ เอาการใช้งานทั่วไปถือว่าพอใช้ได้แค่ระยะเบรกจะแปลกๆหน่อย ถ้าถึงคราวคับขัน เบรคอาจจะไม่ได้ทำให้รู้สึกอยู่หรือมั่นใจขนาดนั้น แต่ก็เบรคอยู่เสียงลมรบกวนจะเข้ามาตอนช่วงความเร็ว 120+ เท่ากับว่าถ้าเกิดเดินทางไกลเสียงลมเข้ามาน้อยมากคันนี้เก็บเสียงได้ดี แต่ก็ไม่ที่สุดในกลุ่ม

ขับขี่ในเมืองใช้ Normal Mode ใช้แบบปกติไม่เลี้ยงไม่ปั้นทำอัตราสิ้นเปลืองอยู่ 13-14.8 กิโลเมตรต่อลิตร ในระยะทาง 40 กิโลเมตร
ขับทางไกลระยะทางราว 200 กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ประมาณ 18-20 กิโลเมตรต่อลิตร ขับแบบทั่วไปในความเร็ว 90-120 km/h
และเมื่อใช้ ECO Mode อัตราสิ้นเปลืองในเมืองทำได้เป็น 15.3 กิโลเมตรต่อลิตร แต่เดินทางไกลไม่ต่างจาก Normal Mode

และอีกโหมดหนึ่งที่หลายคนอาจจะอยากทราบคือ EV Mode แน่นอนครับว่าทางทีมงานก็ได้จัดให้
โดยชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 100% ที่ระยะทางแบตแสดงบนมาตรวัดว่าวิ่งได้ 67 Km เป็นมาตรฐานทุกครั้งหลังจากการชาร์จเต็ม ช่วงที่ทดสอบเป็นเวลากลางวันอุณหภูมิ 32 องศาเซลเซียส ระบบช่วยเหลือต่างๆเปิดทุกอย่าง แล้วใช้งานในเมืองการจราจรไม่ได้ติดขัดมากวิ่งบ้างจอดบ้างแบบปกติใช้งานทั่วไปเราได้วิ่งจนแบตเตอรี่ตัดเข้าเป็นโหมดการทำงานแบบ Hybrid (เมื่อแบตเตอรี่ของPHEV มีกำลังไฟที่ไม่พอหรือใกล้หมดแล้ว จะตัดเขาสู่โหมด Hybrid ติดเครื่องยนต์แล้วปั่นไฟทันที ) ระยะทางที่ทำได้ อยู่ที่ 38 กิโลเมตร (ขึ้นอยู่กับการขับขี่และสภาพการจราจรด้วย) แน่นอนว่าจากที่โรงงานเคลมไว้ 67 มันคือ NEDC ยังไงก็วิ่งไม่ถึงตามที่เค้าให้มาอยู่แล้วแต่ได้เกิน 30 กิโลเมตรใช้ในเมืองก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ

การขับขี่โดยรวมของคันนี้ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างประทับใจ
หลังจากนี้ขึ้นอยู่กับบริการหลังการขายและอะไหล่รองรับลูกค้าว่าทาง MG อาจจะต้องปรับจุดนี้
ความมั่นใจส่วนใหญ่ของผู้ซื้อ คือการบริการหลังการขายและการซ่อมบำรุงที่มีอะไหล่รองรับ

แล้วจะมีคลิปวิดีโอรีวิวรุ่นนี้ตามมา สำหรับโพสต์วันนี้ทางทีมงานวรพล สิงห์เขียวพงษ์ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและเยี่ยมชม เป็นกำลังใจให้กันต่อไปครับ

ขอบคุณครับ #ทีมงานวรพล_สิงห์เขียวพงษ์ #คัมภีร์รถ #คุยเรื่องรถ